Posts List

Health

  • CDC กล่าวว่าเด็กสาววัยรุ่นจมอยู่ในคลื่นแห่งความเศร้า
    CDC กล่าวว่าเด็กสาววัยรุ่นจมอยู่ในคลื่นแห่งความเศร้า

    CDC กล่าวว่าเด็กสาววัยรุ่นจมอยู่ในคลื่นแห่งความเศร้าและความรุนแรง

    รายงานฉบับใหม่พบ “คลื่นแห่งความรุนแรงและความบอบช้ำทางจิตใจที่ท่วมท้น” และระดับความสิ้นหวังและความคิดฆ่าตัวตายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในหมู่นักเรียนมัธยมปลายในสหรัฐฯ

    การถูกทำร้ายทางเพศและประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอื่น ๆ ได้นำไปสู่ความสิ้นหวังและความคิดฆ่าตัวตายในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในหมู่หญิงสาวของอเมริกาศูนย์ควบคุมและป้องกันโรครายงานเมื่อวันจันทร์

    แคธลีน เอเทียร์ ผู้อำนวยการแผนกสุขภาพวัยรุ่นและโรงเรียนของ CDC กล่าวว่า “เด็กสาววัยรุ่นของเรากำลังทุกข์ทรมานจากคลื่นความรุนแรงและความบอบช้ำทางจิตใจ และส่งผลต่อสุขภาพจิตของพวกเขา”

    ผลลัพธ์จากการสำรวจพฤติกรรมเสี่ยงของเยาวชนในปี 2021 ของ CDC แสดงให้เห็นแนวโน้มที่น่าตกใจ เกือบ 3 ใน 5 ของเด็กสาววัยรุ่น (57%) กล่าวว่าพวกเธอรู้สึก “เศร้าหรือสิ้นหวังอย่างต่อเนื่อง” นั่นเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบทศวรรษ และ 30% กล่าวว่าพวกเขาคิดอย่างจริงจังว่าจะตายด้วยการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 60% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

    “ในฐานะพ่อแม่ของเด็กสาววัยรุ่น ฉันอกหัก ในฐานะผู้นำด้านสาธารณสุข ฉันถูกผลักดันให้ต้องลงมือทำ” ดร.เดบร้า โอวรี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของ CDC กล่าวระหว่างการบรรยายสรุปทางอารมณ์ที่ผิดปกติเมื่อวันจันทร์

    การสำรวจซึ่งดำเนินการทุกปีเป็นเวลาสามทศวรรษ รวมคำตอบจากนักเรียนมัธยมปลายในสหรัฐฯ 17,232 คน

    โดยรวมแล้ว กว่า 40% ของเด็กชายและเด็กหญิงกล่าวว่าพวกเขารู้สึกเศร้าหรือสิ้นหวังอย่างมากในปีที่ผ่านมา จนไม่สามารถทำกิจกรรมตามปกติได้ เช่น การทำงานที่โรงเรียนหรือเล่นกีฬาเป็นเวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์ เมื่อนักวิจัยดูความแตกต่างทางเพศ เด็กผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะรายงานความรู้สึกดังกล่าวมากกว่าเด็กผู้ชาย

    Ethier กล่าวว่า “มันน่าทึ่งมากสำหรับเรา ความเสมอต้นเสมอปลายที่เด็กผู้หญิงทำได้แย่กว่าเด็กผู้ชาย” Ethier กล่าว

    วัยรุ่นอย่างน้อย 52% ที่ระบุว่าเป็นเกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กชวล หรือกำลังตั้งคำถาม กล่าวว่าพวกเขามีปัญหาสุขภาพจิต (แบบสำรวจไม่ได้ถามว่าเป็นคนข้ามเพศหรือไม่)

    เด็ก LGBTQ+ “ประสบกับความเครียดระหว่างบุคคลมากขึ้นจากโรงเรียน จากเพื่อน และจากที่บ้าน” โชคไม่ดีที่ Julie Cerel นักจิตวิทยาที่มีใบอนุญาตและผู้อำนวยการของ Suicide Prevention & Exposure Lab แห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี้บอกกับ NBC News

    การสำรวจของ CDC พบว่าเยาวชนมากกว่า 1 ใน 5 หรือ 22% พยายามฆ่าตัวตายภายในปีที่ผ่านมา การตีตราและความรุนแรงต่อวัยรุ่น LGBTQ+ ส่วนใหญ่มีส่วนทำให้สุขภาพจิตย่ำแย่

    แท้จริงแล้ว พฤติกรรมรุนแรงที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยพุ่งเป้าไปที่เด็กผู้หญิงโดยเฉพาะ เป็นข้อค้นพบที่ชัดเจนในรายงานของ CDC การจู่โจมดังกล่าวครั้งหนึ่งได้รับความสนใจระดับประเทศในเดือนนี้ เมื่อ Adriana Kuch วัย 14 ปี ถูกโจมตีขณะที่เธอเดินไปตามทางเดินของโรงเรียนมัธยมในรัฐนิวเจอร์ซีย์ วิดีโอของเหตุการณ์ดังกล่าวถูกโพสต์ทางออนไลน์เพื่อพยายาม “สร้างความสนุกสนาน” กับเธอ พ่อของ Kuch กล่าว

    Kuch เสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายในอีกไม่กี่วันต่อมา

    CDC ระบุว่า ความรุนแรงทางเพศก็เพิ่มขึ้นในหมู่เด็กผู้หญิงเช่นกัน โดย 1 ใน 5 กล่าวว่าเคยประสบมาแล้วภายในปีที่ผ่านมา CDC กล่าว สิบสี่เปอร์เซ็นต์กล่าวว่าพวกเขาถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 11% ของเด็กสาววัยรุ่นที่บอกว่าเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศในปี 2019

    “สำหรับเด็กผู้หญิงวัยรุ่นทุกๆ 10 คนที่คุณรู้จัก มีอย่างน้อยหนึ่งคนและอาจมากกว่านั้นที่ถูกข่มขืน” เอเทียร์กล่าวระหว่างการบรรยายสรุป

    Houry เล่าเมื่อวันจันทร์ในฐานะแพทย์ประจำห้องฉุกเฉิน เธอปฏิบัติต่อนักศึกษาวิทยาลัยที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ

    “เธอรู้สึกอายและคิดว่าเธอยังทำได้ไม่พอที่จะหยุดมัน” Houry กล่าว

    อ่านข่าวอื่น ๆ ได้ที่ boxnovels.com

Economy

  • ชู “เงินกู้โควิด” ผลงานชิ้นโบแดงเพิ่มมูลค่าจีดีพี
    ชู “เงินกู้โควิด” ผลงานชิ้นโบแดงเพิ่มมูลค่าจีดีพี

    ชู “เงินกู้โควิด” ผลงานชิ้นโบแดง เพิ่มมูลค่าจีดีพี 8 แสนล้าน-เศรษฐกิจโต 4.89%

    ประทับตรา “ผลงานดีมาก” ครม.รับทราบประเมินผลเงินกู้โควิดก้อนแรก 3 แผนงาน ส่งผลให้มูลค่าจีดีพี รวมตั้งแต่ปี 2563–2566 เพิ่มขึ้น 0.80 ล้านล้านบาท จีดีพีเพิ่มขึ้น 4.89% ปลื้มสุด ชูมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบช่วยคนไทยบรรเทาภาระ–ลดหนี้–หมุนเงินเพิ่มกว่า 2 ล้านล้านบาท

    นายอนุชา บูรพชัยศรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายงานการประเมินผลโครงการในภาพรวม รอบ 6 เดือน ครั้งที่ 3

    และรายงานการประเมินผลลัพธ์ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในการดำเนินการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563

    ประกอบด้วย แผนงานที่ 1 แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-19

    จากการประเมินผล 51 โครงการ วงเงิน 63,398.96 ล้านบาท มีผลเบิกจ่าย 59,051.04 ล้านบาท คิดเป็น 93.14% ของกรอบวงเงิน ผลการ ดำเนินงานอยู่ในระดับดีมาก ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 63,559.74 ล้านบาท

    มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่คาดว่ารัฐจะได้รับกลับคืนสูงสุดภายในเวลา 3 ปี 12,267.03 ล้านบาท ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มที่ติดเชื้อโควิด

    ยกระดับการวิจัยและพัฒนาการผลิตวัคซีน และเพิ่มความเชื่อมั่นของบุคลากรทางการแพทย์ต่อระบบสาธารณสุข ของประเทศ ขณะที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและอาสาสมัครสาธารณสุขได้รับค่าตอบแทน เยียวยา

    และชดเชยค่าเสี่ยงภัย ทั้งสิ้น 6,222.14 ล้านบาท สถานพยาบาลและโรงพยาบาลทั่วประเทศได้รับการสนับสนุนครุภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ 33,820 รายการ เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องเอกซเรย์ เครื่องตรวจความดัน รถพยาบาล วัสดุทางการแพทย์ และประชาชนได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวน 45.90 ล้านโดส

    ชู “เงินกู้โควิด” ผลงานชิ้นโบแดง เพิ่มมูลค่าจีดีพี 8 แสนล้าน-เศรษฐกิจโต 4.89%
    แผนงานที่ 2 แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ

    ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จากการประเมินผล 20 โครงการ วงเงิน 709,059.02 ล้านบาท มีผลเบิกจ่าย 704,749.81 ล้านบาท คิดเป็น 99.39% ผลการดำเนินงานอยู่ในระดับดีมากเกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 2,304,509.85 ล้านบาท มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมที่คาดว่ารัฐจะได้รับกลับคืนสูงสุดภายใน 3 ปี 444,837.87 ล้านบาท

    ช่วยชะลอการเกิดหนี้เสียหรือการเพิ่มขึ้นของหนี้สินครัวเรือน บรรเทาผลกระทบครอบครัวจากเงินช่วยเหลือเยียวยาต่างๆ ลดความ เครียดและความวิตกกังวลของประชาชน โดยส่วนนี้ เป็นการช่วยเหลือ เยียวยา ชดเชยรายได้ และบรรเทาค่าใช้จ่าย 704,749.72 ล้านบาท เช่น ประชาชนที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเราชนะ 32,866,393 ราย กลุ่มเปราะบาง 6,663,602 ราย และเกษตรกร 7,565,880 ราย

    แผนงานที่ 3 แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

    ชู “เงินกู้โควิด” ผลงานชิ้นโบแดง เพิ่มมูลค่าจีดีพี 8 แสนล้าน-เศรษฐกิจโต 4.89%

    จากการประเมินผล 329 โครงการ วงเงินรวม 208,354.27 ล้านบาท มีผลเบิกจ่าย 185,538.47 ล้านบาท คิดเป็น 89.05% ผลการดำเนินงานอยู่ในระดับดีมาก ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 816,288.75 ล้านบาท

    มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมที่คาดว่ารัฐจะได้รับกลับคืนสูงสุดภายในเวลา 3 ปี 173,052.59 ล้านบาท มีการจ้างงานและรักษาระดับการจ้างงานในช่วงโควิด 237,884 ราย ยกระดับกำลังการผลิตผ่านการพัฒนาพื้นที่เกษตรกรรมตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่และพื้นที่ต้นแบบ “โคก หนอง นา” รวมทั้งยกระดับกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ 55,651 แปลงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการปรับปรุง ซ่อมแซมถนน จำนวน 548 แห่ง และจัดการแหล่งน้ำต่างๆ ทั้งแหล่งน้ำชลประทาน แหล่งน้ำบาดาล และแหล่งน้ำธรรมชาติ จำนวน 782 แห่ง

    “ผลกระทบต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจ (Gross domestic product GDP) จากการใช้จ่ายเงินกู้ 950,590.60 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) รวมตั้งแต่ปี 2563-2566 เพิ่มขึ้น 0.80 ล้านล้านบาท และเมื่อพิจารณาตามแผนงาน พบว่า การใช้จ่ายเงินกู้ตามแผนงานที่ 2 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ส่งผลให้มูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมากที่สุด 0.59 ล้านล้านบาท นอกจากนั้น การใช้จ่ายเงินกู้ฯส่งผลให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real GDP Growth) ให้เพิ่มขึ้นทั้งหมด 4.89% โดย ในปี 2564 อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 2.48% ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อตั้งแต่ปี 2563-2566 ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 0.05% ต่อปี โดยในปี 2564 เพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 0.08%”.

    ขอบคุณรูปภาพจาก : thairath.co.th

    ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath.co.th

    สามารถอัพเดตข่าวสารเรื่องราวต่างๆได้ที่ : boxnovels.com